News & Activities

JWD ผลงานเยี่ยมรับรางวัลส่งออกดีเด่นปี 55 เปิดคลังสินค้าปลอดภาษีใหม่รับลูกค้าทั่วไทย
2013-02-22


เจดับเบิ้ลยูดี ขึ้นแท่นผู้นำระบบโลจิสติกส์แถบอาเซียน ทำแผนธุรกิจปี 55 รุกบริการเพิ่มรถขนส่ง 10คันรับลูกค้าใหม่  พร้อมเปิดตัวคลังสินค้าปลอดภาษี รองรับกลุ่มลูกค้าชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัว ด้านผลงานเด่นขึ้นรับรางวัล (Prime Minister’s Export Awards 2012) ประเภทธุรกิจบริการโลจิสติกส์ (Export Logistics Model Award : ELMA) การันตีการบริการเหนือชั้นคู่แข่ง

นายอติภพ ระวีวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายขนส่ง บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด(JWD InfoLogistics)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ ด้วยการบริหารและจัดการคลังสินค้าแบบครบวงจร ให้บริการทั้งคลังสินค้าทั่วไป (General Warehouse) คลังสินค้าอันตราย (Dangerous Goods Warehouse) คลังสินค้าเขตปลอดอากร (Free Zone Warehouse) และการเคลื่อนย้ายกระจายสินค้า (Transportation and Distribution)

รวมถึงกิจกรรมเสริมในการควบคุมสินค้าให้ครบวงจร (Value Added Services) อาทิเช่น การคัดแยกสินค้า การ packing การแบ่งบรรจุ และการติดหรือเปลี่ยน จุดขายที่สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจของ JWD คือการให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร บริการที่หลากหลายสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ทุกมิติ ที่สำคัญมีจุดเด่นด้านโลเคชั่นที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ทั้ง 2 โซน คือกรุงเทพปริมณฑล และแหลมฉบัง โดยเฉพาะโซนที่อยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น Gateway หลักของประเทศ
นอกจากนี้ มีการพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ได้ขยายพื้นที่คลังสินค้าฟรีโซน ทำให้ปัจจุบันมี Storage Area เพิ่มขึ้นกว่า 20,000 ตารางเมตร มีหัวลากคอนเทนเนอร์ และรถร่วมบริการกว่า 80  คัน และในปีนี้บริษัทฯจะทำการเพิ่มรถอีกว่า 10 คันเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งรายเก่ากว่า 50 รายและรองรับลูกค้าใหม่และช่วงปลายปีจะทำการเปิดช่องทางขนส่งแบบสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น โดยมีการรับจากโรงงานอุตสาหกรรม ส่งต่อไปยังดีลเลอร์ต่างๆทั่วประเทศ

นายอติภพกล่าวต่อว่า ทางด้านการรักษาความปลอดภัยนั้น ทางบริษัทฯได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเริ่มจากพนักงานขับรถที่ต้องมีใบอนุ ญาติขับขี่รถประเภท 4  คือรถบรรทุกวัตถุอันตรายให้มีความปลอดภัยภายในและภายนอกของตัวรถขนส่งรวมทั้งมาตรฐานการตรวจสอบระบบความปลอดภัยภายในต้องมีถังดับเพลิง และทำการตรวจสภาพรถอยู่เป็นประจำเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในตัวสินค้า นอกจากนี้พนักงานขับรถต้องสวมชุดยูนิฟอร์ม ใส่แว่นตา และหมวก เพื่อความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า  นอกจากนี้รถทุกคันจะมีการติดตั้ง GPRS ซึ่งรับรู้ได้ว่าพนักงานขับรถสามารถให้บริการที่ตรงเวลามากน้อยเพียงใด หรือรับรู้ถึงข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการกำจัดความเร็วในการขับขี่  จึงถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของทาง JWD อีกด้วย

สำหรับภาพรวมโลจิสติกส์ไทยในขณะนี้ทุกหน่วยงานมีความต้องการ ในการใช้บริการรถขนส่งเป็นจำนวนมาก เนื่องจากระบบขนส่งไม่เพียงพอมากนัก เพราะการส่งออกหรือนำเข้าสินค้านั้นมีจำนวนมากขึ้น

ด้านนายภวัต มงคลเดชาโชติ ผู้ช่วยผู้จัดการคลังสินค้าอันตราย บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด กล่าวว่าบริษัทฯได้ทำการจัดเก็บข้อมูลของสินค้าอันตรายว่ามีอะไรบ้าง ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดหรือเกิดความเสียหายของสินค้าดังกล่าวทางบริษัทฯ สามารถเข้าไปตรวจสอบปัญหาและทำการแก้ไขได้ทันที

 ส่วนการบริการ บริษัทฯให้การบริการครบวงจรแบบ One Stop Service เป็นหลัก ซึ่งประกอบไปด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านคลังสินค้าอันตราย ที่สามารถปฎิบัติงานได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และการขนส่งจะมีระยะไม่เกิน 3 วันในการเดินทางหรือขึ้นอยู่กับลูกค้าเป็นตัวกำหนด ซึ่งการขนส่งสินค้าแต่ละครั้งอยู่ประมาณ 20-30 ตันต่อเที่ยว
สำหรับสินค้าที่บริษัทฯให้บริการมากที่สุด ได้แก่ ประเภทที่ 3 ของเหลวไวไฟ (Flammable Liquids), ประเภทที่ 8 สารกัดกร่อน และประเภทที่ 9 วัสดุอันตรายเบ็ดเตล็ดและลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการด้านวัตถุเคมี อย่างเช่น ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น เนื่องจากต้องมีการขนส่งทางบก แบบนำเข้า รวมทั้งส่งออกด้วย จึงถือว่าเป็นสินค้าอันตราย
 
นายภวัต กล่าวต่อว่า  ทางบริษัทฯ ได้ทำการเปิดคลังสินค้าปลอดภาษีใหม่ไปเมื่อกลางปี 2555 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับกลุ่มสินค้าทั่วไป และอะไหล่รถยนต์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จึงทำให้ในปี 2556 บริษัทฯ  อาจมีการขยายพื้นที่เพิ่มในไตรมาส 2-3  เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์และสารเคมี  ส่วนในไตรมาส 4 ปีนี้บริษัทฯจะทำการเพิ่มการขนส่งแบบห้องเย็นอีกด้วย
 
 นายภวัตกล่าวถึงผลงานคุณภาพว่า ในปีนี้บริษัทฯ ได้รับรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น (Prime Minister’s Export Awards 2012) ประเภทธุรกิจบริการโลจิสติกส์ (Export Logistics Model Award : ELMA)  ซึ่งเป็นการการันตีได้ว่าบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการบริการเป็นอย่างมากและเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ องค์กรที่ดี ที่มีส่วนผลักดันการส่งออกสินค้าและบริการของประเทศในการพัฒนาสินค้าและ บริการให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จนสามารถแข่งขันและสร้างตลาดต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน ซึ่งส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในด้าน ปริมาณและมูลค่าและเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักเข้าประเทศ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีความตั้งใจที่จะทำงานตามธุรกิจโดยมีมาตรฐานระดับนานาชาติการันตีองค์กร อาทิเช่น มาตรฐาน ISO 9001:2008 จากสถาบัน SGS, พอร์ตความปลอดภัยอาชีวอนามัยและระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (PSHEMS) Cutoms-Trade ต่อต้านการก่อการร้าย (C-TPAT) พร้อมกล่าวสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการโลจิสติกส์จสามารถตอบสนองความต้อง การของลูกค้าทุกทางที่ดีที่สุด นายภวัต กล่าวตอนท้ายว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มองว่าต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งระบบไอทีทั้งหมดที่ใช้ในการทำงาน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งต้องจัดฝึกอบรมพนักงานเป็นประจำทุกเดือน โดยนำความรู้ทั้งในด้านสินค้าอันตราย ระบบขนส่งแล้วมาพัฒนาสร้างทักษะความรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง จากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่ช่วยเกื้อหนุนธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม โดยปัจจัยภายในประเทศ ได้รับผลบวกจากการลงทุนจากต่างประเทศ การขยายฐานการผลิตและศูนย์กระจายสินค้าสู่ภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการขยายตัวของความเป็นเมือง และการท่องเที่ยวที่มีความคึกคักมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีแผนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนา โครงข่ายโลจิสติกส์ จะช่วยเสริมให้ระบบโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของ ประเทศมากยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งภาครัฐวางแผนที่จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงให้เหลือร้อยละ 13 ภายในปี 2560 จากร้อยละ 15.2 ในปี 2553

สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศ คาดว่ามีแรงสนับสนุนมาจากผลของการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และความร่วมมือในกรอบ ASEAN Plus กับประเทศพันธมิตรนอกอาเซียน เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ซึ่งจะส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในด้านอื่นๆ ระหว่างกันภายในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าชายแดนที่จะเติบโตขึ้นอย่างมาก

ทั้งนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2555 นี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ในตลาดโลกอ่อนแรงลง จากปัญหาวิกฤติหนี้ในยูโรโซน ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย แต่จากอุปสงค์ภายในประเทศที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของ อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งปัจจัยบวกที่มีต่อธุรกิจโลจิสติกส์ดังที่กล่าวมาข้างต้น อาจช่วยผลักดันธุรกิจโลจิสติกส์ให้เติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในปี 2555 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าจีดีพีในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ในปี 2555 จะเพิ่มขึ้นเป็น 569,774-578,732 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 6.3-8.0 จาก 536,059 ล้านบาท ในปี 2554

นอกจากนี้ ในปี 2556 จะมีการเปิดเสรีสาขาบริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาบริการที่มีการเร่งรัดเปิดเสรีภายในกรอบ AEC จากการที่จะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางอาเซียน ดังนั้น นอกเหนือการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ยังจะมีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคโดยใช้เส้นทางผ่านไทยมากยิ่ง ขึ้น ซึ่งจะทำให้การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีแนวโน้มขยายตัวสูงนับจากนี้และ หลังการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างกันในภูมิภาคที่จะพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน จะไม่เพียงแต่สนับสนุนการเชื่อมโยงภายในภูมิภาคในด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังจะสนับสนุนการเชื่อมโยงของแหล่งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการลงทุนในอนาคต
บรรยายใต้ภาพ

การส่งสินค้าที่มีคุณภาพ โดยรถทุกคันจะมีการติดตั้ง GPRS สามารถรับรู้ได้ว่าให้บริการที่ตรงต่อเวลามากน้อยเพียงใด
 
ที่มา : http://www.theccn-news.com